วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เก็บรักไว้ที่ปลายรุ้ง ตอนที่ 2

“ฮัลโหล” “ครับผมประวิทย์พูดครับท่าน” “ว่าไงคุณประวิทย์ตอนนี้ดำเนินการถึงไหนแล้ว” “ตอนนี้ผมกำลังพยายามติดต่อเพื่อขอพบเจ้าของไร่ครับท่าน” “รีบๆหน่อยนะผมหวังมากว่าครั้งนี้คุณจะไม่พลาด ที่ดินราคางามๆอย่างนี้เป็นใครคงไม่ปฏิเสธ” “ท่านครับมันไม่ได้มีแค่บริษัทของเราเท่านั้นนะครับ ที่ต้องการที่แปลงนั้น” “ผมขอพูดสั้นๆนะคุณประวิทย์เราจะต้องได้ที่แปลงนั้นเราจะไม่พลาด บริษัทธาราคอร์เปอร์เรชั่น จะต้องเป็นเจ้าของที่แปลงนั้นแค่นี้นะผมจะรอฟังข่าวดีจากคุณ” “ ครับสวัสดีครับท่าน” เฮ้อ เจ้านายเรานี่นะทำไมรู้จักแต่ความสำเร็จอย่างเดียว งานนี้ดูไม่ธรรมดาด้วยสิ จะทำยังไงดีนะเรา เอาไงเอากันไม่ลองไม่รู้ ประวิทย์พูดพึมพำกับตัวเอง รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล บรรยากาศงานเลี้ยงคืนนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทุกคนดื่มกินสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ป้าจันทร์อีกทั้งสมจิตหลานสาวของป้าจันทร์ อ้อนและคนงานผู้หญิงอีกหลายคนช่วยกันเตรียมอาหาร จนเพียงพอกับทุกๆคน ผู้ชายช่วยกันเตรียมสถานที่ อีกกลุ่มก็ย่างหมูหัน จนสุขหอมน่ากิน และนอกจากนั้นก็มีอาหารอื่นๆอีกเช่นกุ้ง หอย ปู ปลาทั้งต้มและย่าง ผลไม้อีกทั้งเครื่องดื่มก็เพียบพร้อม เมื่อความมืดเริ่มมาเยือน กองไฟก็ได้ถูกจุดขึ้น ณ ลานเคียงดาว มีเสียงเพลงคลอเบาๆ เสียงพูดคุยและหัวเราะที่เต็มไปด้วยความสุข ท้องฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยดวงดาวสว่างไสวเรืองรอง บรรยากาศแบบนี้แหละที่ต้องการสายชลบอกกับตัวเองเช่นนั้น ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของคนงานและครอบครัวของพวกเขา ใช่ว่าให้แค่เงินนิดๆหน่อยๆในแต่ละเดือนก็จบไป คนทุกคนย่อมต้องการความมั่นคง และก้าวหน้าในชีวิตเป็นปัจจัยพื้นฐาน ในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขกับการดื่มกิน พูดคุยสนุกสนาน และแอลกอฮอล์กำลังสูบฉีดในร่างกายนั้น ลุงมีในฐานะหัวหน้าคนงานและเป็นทั้งพ่อบ้านดูแลความเรียบร้อยทุกอย่าง ก็ได้ขึ้นไปบนเวทีประกาศกับทุกคน “ทุกๆคนฟังทางนี้ ตอนนี้ฉันรู้ว่าทุกคนกำลังสำราญกันอย่างเต็มที่ และบรรยากาศก็กำลังดี เพราะฉะนั้นจึงขอเชิญคุณสายชลเจ้าของไร่เคียงดอยของพวกเราได้ขึ้นมาพูดแสดงความรู้สึกกับพวกเราทุกคนและเพื่อเป็นการขอบคุณที่ท่านได้จัดเลี้ยงพวกเราทุกคนในวันนี้ ขอเสียงปรบมือดังๆด้วย” และเสียงปรบมือก็ดังขึ้นในทันที “เชิญครับคุณชล”ลุงมีกล่าวเชิญสายชลขึ้นเวที “สวัสดีค่ะลุงป้าน้าอาพี่น้องทุกคนของไร่เคียงดอย ความจริงก็ไม่ได้เป็นทางการอะไรจุดประสงค์ของการจัดงานในวันนี้ก็เพื่อ ต้องการให้ทุกคนได้พักผ่อน สนุกสนานหลังจากที่เราได้เริ่มต้นมาด้วยกัน เหนื่อยมาด้วยกัน หลายๆคนก็ยังอยู่กับเราร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับเรา เหมือนครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ เพราะฉะนั้นมีอะไรก็ต้องดูแลกัน ที่ผ่านมาที่ฉันยังไม่พูดก็เพราะว่ายังดูๆอยู่ แต่มาถึงวันนี้แล้วฉันมั่นใจว่า ทุกคนก็จริงใจกับฉัน ไม่ได้มีความรู้สึกเป็นเพียงแค่นายจ้างลูกจ้าง ฉันจึงรู้สึกดีที่จะได้พูดในเรื่องต่อไปนี้กับทุกคน” สายชลเบรกพักนิดหนึ่งด้วยการจิบไวน์ที่สมจิตนำมาเสิร์ฟอย่างนอบน้อมเมื่อรับแก้วคืนจากสายชลเธอก็หันไปชม้ายชายตาให้กับเอกชัยพ่อหม้ายหนุ่มลูกหนึ่ง ซึ่งกำลังปิ๊งกันใหม่ๆ สายชลมองสบตาทุกคนก่อนที่จะพูดต่อเพราะรู้ว่าทุกคนกำลังจิตใจจดจ่ออยากรู้ว่าสิ่งดีๆที่เธอกำลังจะพูดคืออะไร “ สวัสดีค่ะพี่ชาติ” เสียงหวานสดใสที่ทักขึ้นนั้นทำให้ธนชาติเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายนายต่างมองมายังจุดเดียวกัน ต่างมองสบตากันและแอบยิ้มเป็นเชิงว่าเข้าใจกันดี อรอุมาลูกสาวคนสวยของท่านผู้กำกับฯ ใครๆก็รู้จักเพราะเธอจะมาที่นี่เป็นประจำ และทุกคนรู้ว่าเป้าหมายของการมาของเธอก็คือ สารวัตรธนชาตินั่นเอง “สวัสดีครับอร มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ” “อย่าพูดแบบนั้นสิคะพี่ชาติ อรเกรงใจแย่เลย อรว่าจะมาชวนพี่ชาติไปทานข้าวค่ะ ค่ำแล้วนะคะขยันเกินไปเดี๋ยวโรคกระเพาะจะถามหานะคะ”ธนชาติยกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับ อรอุมา “ตกลงครับ ไปร้านไหนดีครับ” “อรอยากไปร้านที่พี่ชาติคิดว่าพิเศษที่สุดน่ะค่ะเพราะว่าอรพึ่งกลับมาอะไรก็เปลี่ยนไปเยอะอรเลือกไม่ถูกหรอกค่ะ” “คือผมไม่มีร้านที่เป็นร้านพิเศษหรอกนะครับ แต่ถ้าเป็นร้านที่ไปประจำก็พอมี” จริงๆแล้วธนชาติมีร้านพิเศษในใจที่เป็นส่วนตัวของเขา แต่เขาชอบที่จะไปร้านนั้นเพียงคนเดียวหรือกับลูกน้องที่รู้ใจอย่างจ่าเข้มมากกว่า “ถ้างั้นเราไปร้านที่พี่ชาติไปประจำดีกว่านะคะ อรจะได้รู้ไว้ว่าพี่ชาติชอบนั่งร้านไหนด้วยค่ะ” “ได้สิครับอร งั้นเชิญเลยครับ ธนชาติลุกขึ้นและเดินนำอรอุมาไปที่รถยนต์ส่วนตัวของเขาที่จอดอยู่ “ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันฉันขอพูดเป็นเรื่องๆ เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจง่าย และไม่เป็นการรบกวนเวลาแห่งความสุข เรื่องแรกก็คือ เราจะสร้างบ้านพักคนงานใหม่ให้สวยงามและน่าอยู่เพียงพอกับจำนวนครอบครัวคนงาน แทนบ้านพักชั่วคราวหลังเดิมให้เป็นสัดเป็นส่วนกระจายอยู่ตามบริเวณไร่เคียงดอย จะได้เป็นส่วนตัวและพักผ่อนกันอย่างเต็มที่หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน” พอสายชลพูดถึงตรงนี้เสียงปรบมือเฮฮาเกรียวกราวก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “ฟังต่อๆนี่แค่เรื่องที่หนึ่ง ให้ทุกคนฟังให้จบ” คราวนี้เป็นเสียงของลุงมีออกมาช่วยสงบเสียงไม่อย่างนั้นคงอีกนานกว่าสายชลจะได้พูด “ต่อเลยครับคุณชล” “เรื่องที่สอง ฉันจะจัดให้มีกองทุนสวัสดิการสำหรับพวกเราทุกคนสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้อย่างไม่เดือดร้อนเวลาที่เจ็บไข้ได้ป่วย “เรื่องที่สาม ไร่เคียงดอยของเราจะต้องมีสหกรณ์ เพื่อซื้อขายสินค้าในราคาประหยัด ของใช้ต่างๆที่จำเป็นในชีวิตประจำวันและเพื่อความสะดวกสบายของทุกคน และถ้าใครเป็นสมาชิกก็จะได้รับการแบ่งปันผลกำไรเมื่อสิ้นปีตามจำนวนหุ้นของแต่ละคน และนอกจากนั้นสินค้าที่นำมาขายส่วนหนึ่งก็จะเป็นผลิตผลจากไร่เคียงดอยของเรา เช่น ดอกไม้สด ดอกไม้อบแห้ง ผลไม้สด ไวน์และน้ำผึ้งอย่างนี้เป็นต้น เพราะของพวกนี้สามารถซื้อเป็นของฝากได้ และเป็นการเพิ่มรายได้ที่ดีให้กับไร่เพิ่มดอกผลกำไรแบ่งปันให้กับพวกเราทุกคน และช่วงนี้การท่องเที่ยวกำลังดี ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับไร่ของเรา เรื่องสุดท้าย ฉันคิดว่าทุกคนต้องชอบ ก็คือเรื่องของการเพิ่มค่าแรงงานและค่าทำงานล่วงเวลาให้กับทุกคนซึ่งฉันคงจะปรึกษากับลุงมีอีกทีก่อนที่จะแจ้งให้ทุกคนทราบว่าจะเพิ่มให้เท่าไหร่ ส่วนเรื่องอื่นๆก็เช่นเรื่องระบบเงินกู้ฉุกเฉินก็คงจะจัดให้มีขึ้นก็อาจมีความจำเป็นที่ต้องใช้ มันจำเป็นมากที่ฉันจะต้องดูแล ทุกๆเรื่องที่ฉันพูดมานี้เราจะรีบดำเนินการให้เรียบร้อย เพื่อความมั่นคงและการอยู่ดีกินดีของพี่น้องเราทุกคน” เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มของทุกๆคน รอยยิ้มแห่งความปราบปลื้มตื้นตัน บางคนถึงกับน้ำตาซึมคลอหน่วยตา ยินดีจนพูดไม่ถูก เงียบไปครู่หนึ่งหลังจากเสียงปรบมือนายสมัครผู้แสดงว่าเป็นตัวแทนของคนงานทุกคน จึงขอพูดขึ้น “คุณชลครับผมขอพูดในนามของคนงานทุกคน พวกเราทุกคนขอขอบคุณในความกรุณาของคุณชลเป็นอย่างมาก พวกเราทุกคนจะขอจดจำเอาไว้เสมอ เราคงไม่สามารถหานายดีๆ มีน้ำใจอย่างนี้ได้อีกแล้ว พวกเราทุกคนคงจะได้ทำงานอย่างมั่นคง และลืมตาอ้าปากได้มีเงินเก็บกันเสียที พวกเราจะตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่คุณชลได้ช่วยเหลือ และมีน้ำใจกับพวกเราทุกคน อ้าวพวกเรา “ไชโยๆๆ.....และเสียงโห่ร้องไชโยก็ดังขึ้นพร้อมๆกัน “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันขอให้ทุกคนดื่มกินกันอย่างเต็มที่และขอให้ทุกคนเริ่มต้นทำงานในวันพรุ่งนี้กันอย่างมีความสุข” หลังจากนั้นลุงมีก็ออกมาทำหน้าที่ต่อจากสายชล “ใครอยากร้องเพลงอะไรก็ออกมาบอกได้ เรามีคาราโอเกะบริการ ใครพอใจจะนั่งดื่มกิน หรือนั่งฟังเพลงเฉยๆก็แล้วแต่สมัครใจวันนี้งานเราเลิกห้าทุ่ม คงไม่ช้าและเร็วเกินไป ขอให้ทุกคนมีความสุข” หลังจากลุงมีลงจากเวทีทุกคนก็ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน สายชลร่วมดื่มกินและสนุกสนานกับทุกคน ก่อนที่จะขอตัวกลับไปพักผ่อน “คุณชลจะไปพักผ่อนแล้วหรือครับ เห็นพวกคนงานบอกอยากฟังคุณชลร้องเพลงสักเพลงก่อนน่ะครับ” “เอาไว้งานหน้าดีกว่านะลุง ฉันรู้สึกเพลียๆน่ะ”สีหน้าคนพูดแสดงออกว่ารู้สึกแบบนั้นจริง “วันนี้คนงานของเรามีความสุขมากนะครับคุณชล” “ลุงสิ่งที่ฉันได้พูดไปในวันนี้ ฉันได้คิดเอาไว้นานแล้ว ถ้าไม่มีพวกเขาไร่เคียงดอยก็อยู่ไม่ได้ เราต้องพึ่งพาอาศัยกัน ฉันคงไม่สามารถเห็นแก่ตัวพอที่จะเป็นคนเก็บกำผลประโยชน์ทุกอย่างไว้คนเดียวโดยไม่มอบสิ่งที่ควรให้ตอบแทนกลับไปให้เขาสิ่งเหล่านั้นมันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ตั้งแต่อาหารการกินที่อยู่อาศัยข้าวของเงินทอง ยารักษาโรค ความมั่นคงและปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งอนาคตที่ดี ที่สำคัญฉันมีความสุขที่เห็นพวกเขามีความสุขเรียกว่าสุขอันเกิดจากการให้ไงจ๊ะลุง บางครั้งความสุขและรอยยิ้มแบบนั้นมันใช่ว่าจะเอาเงินไปซื้อหามาได้เลยจริงมั๊ยจ๊ะลุง” “จริงครับ คุณชลน่ะเป็นทั้งนายจ้างและแม่พระของพวกเราทุกคน” “ขอบใจจ๊ะลุงแต่ฉันว่าคงไม่ต้องถึงขนาดแม่พระหรอกนะ” พูดพร้อมหัวเราะดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข “ลุงมีจ๊ะพรุ่งนี้สักโมงครึ่งเชิญประชุมที่ห้องทำงานหน่อยนะฉันมีเรื่องจะปรึกษา” “ครับคุณชล” “ว่าไงเชิด เรื่องที่ฉันให้แกส่งคนไปตามสืบเรื่องไร่นั่นน่ะไปถึงไหนแล้ว” ไกรศักดิ์ เศรษฐีใหญ่ผู้มีอิทธิพลทางภาคเหนือผู้เป็นเจ้าของธุรกิจมากมายซึ่งคนแถวนั้นใครๆก็รู้จักดีกำลังติดตามความก้าวหน้าจากลูกน้องคนสนิท “มีความคืบหน้าครับนาย ตอนนี้คนของเรารายงานมาว่าเจ้าของไร่กลับมาแล้วครับ” เชิดลูกน้องคนสนิทรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาโหดเหี้ยมเหมาะสมกับอาชีพมือปีน และลูกน้องคนสนิทของเจ้าพ่อกำลังรายงานความก้าวหน้ากับเจ้านาย เขาเป็นลูกน้องมือขวาของนายไกรศักดิ์ที่ฝีมือดีและได้รับความไว้วางใจจากเจ้านายเป็นอย่ามาก “เป็นใครกันวะ” “ เป็นผู้หญิงครับนายยังสาวเสียด้วย” “อุ๊วะ ....อย่างนี้มันก็ง่ายนะสิ” เสี่ยไกรศักดิ์หัวเราะเสียงดังจนเห็นฟันครบทุกซี่ด้วยความพอใจเพราะคิดว่าทุกอย่างจะต้องง่ายอย่างที่คิด “ส่งคนของเราไปติดต่อขอซื้อที่เอาให้สำเร็จนะโว๊ยงานนี้ห้ามพลาดถ้าเราได้ที่แปลงนี้ จะเป็นโรงแรม หรือรีสอร์ทอีกกี่แห่งก็ไม่มีใครสู้เราได้” “ ถ้างั้นแสดงว่างานนี้เราทุ่มสุดตัวเลยใช่ไหมครับนาย” “ใช่แต่ไม่ใช่เงินนะ เรื่องอะไรจะเสียเงินเยอะๆให้โง่ล่ะ ขู่มันสิ แค่รู้ว่าเป็นคนของเสี่ยไกรศักดิ์ขี้คร้านมันจะกลัวหัวหดรีบขายให้เรา “ แล้วเผื่อมีคนอื่นชิงไปก่อนล่ะครับเจ้านาย” “ ก็จัดการมันสิวะไอ้โง่ทำยังไงก็ได้ให้มันขายที่ให้เรา พวกนายหน้าอื่นๆน่ะข่มขู่มันได้เลย ใครมันจะใหญ่ไปกว่าเสี่ยไกรศักดิ์ จัดการให้ดีอย่าให้เรื่องมาถึงกู” “ ครับนาย” สายชลแอบมองทุกคนในงานคืนนี้เงียบๆบนระเบียงบ้านเคียงดอย ทุกคนสนุกสนานมีความสุข ผู้หญิงทุกคนแต่งตัวสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นและหามาได้ช่วยกันทำอาหารผู้ชายช่วยกันจัดสถานที่และช่วยกันเสิร์ฟ ดื่มกิน พูดคุยกัน เธอไม่รู้หรอกว่าหนึ่งในเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันนั้นคือการชื่นชมนายจ้างผู้ใจดีมีน้ำใจ สายชลคิดว่าบรรยากาศแบบนี้นานๆก็ควรจะจัดให้มีขึ้นสักครั้งหนึ่ง เพื่อให้ทุกคนได้สนุกสนานและผ่อนคลายนี่คือ ความมั่นคงและความปลอดภัยของบ้านเคียงดอยด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีนายทุนผู้เห็นแก่ตัวเข้ามารุกราน สายชล จำเป็นที่จะต้องมีเกราะเพื่อป้องกันตัวด้วยเนื้อที่ทั้งหมดของไร่เคียงดอยกว้างใหญ่เพียงพอที่จะสร้างหมู่บ้านเล็กๆและสงบสุขได้ ภายในไร่เคียงดอยนี้จะเต็มไปด้วยคนที่มีน้ำใจพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเหมือนญาติพี่น้องเป็นเกราะป้องกันคนภายนอกที่จ้องแต่จะเข้ามาหาผลประโยชน์ สายลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง หมอกบางๆเริ่มลงแล้ว ดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้าเหมือนกับจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานคืนนี้และแสดงความยินดีกับความสุขของทุกๆคนที่นี่ แสงไฟจากลานเคียงดาวมองดูวอมแวม เสียงพูดคุยและร้องเพลงอย่างสนุกสนานลอยมาตามลม คืนนี้คงนอนหลับอย่างสุขใจ พร้อมที่จะตื่นขึ้นมารับเรื่องราวใหม่ๆในวันรุ่งขึ้น สายชลเดินกลับเข้าห้องนอนบอกราตรีสวัสดิ์กับคืนที่แสนสวยงาม และความสำเร็จของคืนนี้ ตีห้าในฤดูนี้ฟ้ายังมืดสนิท เสียงไก่ขันแว่วมาแต่ไกล ความรู้สึกดีๆจากเมื่อคืน ทำให้สายชลรู้สึกกระปรี้กระเปร่า อยากตื่นแต่เช้า เดินออกมาสูดอากาศสดชื่นริมระเบียง กลิ่นดอกพิกุลหอมอ่อนๆรวยรินลอยมาตามลม อากาศเริ่มเย็นขึ้นกว่าปรกติน้ำค้างลงหนาจนระเบียงเปียกคล้ายโดนฝน เสียงนกที่อาศัยทำรังอยู่บนต้นไม้ใกล้บ้านเคียงดอยเริ่มร้องดังขึ้นเนื่องจากมีหลายร้อยตัวอาศัยต้นไม้อยู่ร่วมกันและคงได้เวลาเริ่มต้นวันใหม่ ออกหากินเลี้ยงตัวและลูกน้อย เหนือยอดไม้ขึ้นไปดาวดวงหนึ่งยังคงอยู่และเปล่งประกายสุกใส เด่นงามอย่างนี้สายชลบอกกับตัวเองว่า เธอจะเรียกดาวดวงนี้ว่าดาวแห่งศรัทธาวันนี้เธอพบดาวดวงนี้ในเช้ามืดของการเริ่มต้นแห่งวัน จะมีความหวังและสิ่งดีๆเกิดขึ้นเสมอ ผมยาวปล่อยสยายเต็มหลังใบหน้าคมคายจมูกโด่งรับกับตากลมโตผิวเหลืองนวลละมุนตา เธอไม่ใช่คนที่ขาวผุดผ่องอย่างสาวสมัยใหม่ทั่วไปแต่ ดูเด่นสะดุดตา เธอแหงนมองท้องฟ้าที่ตอนนี้เริ่มเป็นสีเทาจางๆ มีความสุขที่สุดที่ได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ เรียนรู้วิถีการดำเนินชีวิตของผู้คน บอกกับตัวเองเสมอว่าการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด สายชลพยายามมองฝ่าความมืดสลัวออกไปไกลแสนไกล เธอผูกพันกับที่นี่มาก ไร่นี้เป็นบ้านเป็นทุกอย่างที่สำคัญในชีวิตของเธอ เพราะเธอเกิดที่นี่ คุณตาคุณยายเป็นคนดูแลเธอตั้งแต่เด็ก เพราะตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่เริ่มขยายกิจการใหม่ทุกอย่างอยู่ในช่วงของความเสี่ยง ตอนเล็กๆสายชลจึงได้เรียนรู้ทุกอย่างที่นี่ คุณพ่อคุณแม่ต้องเทียวไปเทียวมาเมื่อหาเวลาได้ และท่านจำเป็นต้องเดินทางไปไหนบ่อยๆเพื่อติดต่อธุรกิจ ทำให้ท่านไม่สามารถที่จะดูแลสายชลได้อย่างเต็มที่สายชลจึงได้อยู่กับตาและยายจนถึงวัยที่เริ่มเรียนชั้นประถมท่านจึงพร้อมและรับสายชลไปอยู่ และเรียนที่กรุงเทพใช้ชีวิตเป็นคนกรุงเทพแต่ เธอไม่เคยบอกตัวเองสักครั้งว่าเธอเป็นคนกรุงเทพ เพราะเมื่อปิดเทอมหรือมีเวลาว่างเธอเป็นต้องร้องขอกลับบ้านไร่ทุกที แม้คุณตาและคุณยายจะจากไปนานแล้วความผูกพันและความอบอุ่นยังคงอยู่เสมอ จำได้ว่าวันหนึ่งตอนนั้นเธออายุเก้าขวบตอนนั้นปิดเทอมเด็กหญิงสายชลเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าด้วยตัวเอง คุณแม่เดินเข้ามาพบเธอในห้องนอนและมองเด็กหญิงสายชลด้วยสีหน้างงๆ พลางถามบุตรสาวว่า “หนูเก็บเสื้อผ้าจะไปไหนลูก”คุณแม่นั่งลงข้างๆและลูบที่ศีรษะของเธอเบาๆพร้อมกับหอมแก้มหนึ่งที “ไปบ้านไร่เคียงดอยค่ะคุณแม่” “ไปยังไงลูก แม่กับพ่อไม่ว่างพาหนูไปยังไม่ได้หรอกนะ” “คุณแม่ให้น้าสมคิดขับรถไปส่งหนูก็ได้ค่ะหนูปิดเทอมแล้ว” “จะดีหรือลูกหนูยังเด็กแม่เป็นห่วงไม่อยากให้หนูนั่งรถไกลถ้าไม่มีแม่ไปด้วย” “หนูไปได้ค่ะแม่ หนูคิดถึงคุณตาและคุณยาย และหนูก็โทรไปบอกคุณยายแล้วด้วย” คุณแม่มองหน้าสายชลครู่หนึ่งก็พบกับสายตาอ้อนวอนของลูกสาวก็เลยต้องอนุญาตเพราะความใจอ่อนสงสารลูกคงจะคิดถึงตาและยายมากเพราะอยู่ด้วยมาตั้งเล็กแต่น้อย “แล้วหนูจะอยู่กี่วันล่ะลูกแม่จะได้ไปรับหนูกลับ” “อยู่จนเปิดเทอมเลยค่ะคุณแม่” ตอนนั้นสายชลจำได้ว่ารอยยิ้มของคุณแม่หายไปจากใบหน้าทันที ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าท่านคงไม่อยากให้ลูกสาวจากไปนานๆ แต่ตอนนั้นเธอยังเด็กเธอไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่ได้ทุกอย่าง เธอมักจะเรียกร้องในสิ่งที่เป็นความต้องการของตัวเองเท่านั้น และจนถึงวันนี้เธอก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่บ้างในความคิดของตัวเอง และเธอนึกถึงตอนที่เธอบอกกับคุณพ่อคุณแม่ว่าเธออยากเรียนศิลปะดูทุกคนในครอบครัวตกใจมาก แต่ก็ตามใจในที่สุดเพราะเหตุใดสายชลก็ยังไม่รู้เท่าทุกวันนี้ สายชลไม่คิดอยากทำธุรกิจ เหมือนพี่ชายทั้งสองของเธอ ในเรื่องนี้มันเป็นเหมือนปมลึกๆในใจที่เธอไม่เคยพูดหรือบอกเล่ากับใครแม้แต่พ่อกับแม่ เธอมักอดน้อยใจเสมอว่าเพราะธุรกิจนี่แหละพ่อกับแม่จึงไม่มีเวลาให้เธอเลยในตอนที่เธอเป็นเด็กเล็กๆและต้องการความอบอุ่นอย่างมาก ถึงแม้เมื่อเธอสามารถรับรู้เหตุผลและความจำเป็นได้แล้ว ปมเหล่านั้นมันก็ยังแฝงอยู่ในใจอยู่ในส่วนลึกในจิตใต้สำนึก บุคลิกความเงียบขรึม ความนิ่งและความมั่นใจในตนเองสูง โดยแท้แล้วเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นเกราะภายนอกที่ห่อหุ้มความไม่มั่นใจในตัวเองของเธอเอาไว้ เพราะบ่อยครั้งที่การรอคอยของเด็กหญิงตัวเล็กๆไม่สมหวังมันเป็นเหมือนจุดดำๆเล็กๆที่สะสมอยู่ในใจ ใจดวงน้อยจึงเกิดรอยด่างเพราะเด็กคือผ้าขาวบริสุทธิ์ผู้ใหญ่จะนำสีอะไรมาแต่งแต้มให้ก็ได้ทั้งนั้น แม้เมื่อเติบโตขึ้นด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ชีวิตช่วงที่สำคัญก็ได้หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนที่มีโลกส่วนตัว มีความเป็นตัวเองสูงไม่ชอบพูดหรือบอกเล่าความรู้สึกต่างๆของตนให้ใครได้รับรู้สักเท่าไหร่ทางออกที่มีความสุขก็คืออยู่กับโลกของจินตนาการ และงานศิลปะ สายชลคิดถึงพ่อกับแม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ท่านจะกลับกรุงเทพสักที อยากกอดให้อบอุ่นและหายคิดถึง แต่พอคิดว่าท่านมีความสุขก็พลอยมีความสุขไปกับท่านด้วย แต่สำหรับสายชลแล้วไม่มีที่ไหนที่จะสุขใจได้เท่าบ้านไร่เคียงดอยไม่มีที่ไหนเรียกว่าบ้านนอกจากที่นี่ บ้านเคียงดอย ลานเคียงดาว สาวบ้านไร่ ขวัญใจชาวดิน คิดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มไม่ได้เพราะเป็นคำพูดของพี่เมฆาที่พูดล้อเลียนน้องสาวเป็นประจำ และกลายเป็นคำพูดสนุกสนานในครอบครัว รวมทั้งพี่ภูผาก็พลอยเป็นไปด้วย คุณพ่อคุณแม่ก็พลอยสนุกสนานไปกับพี่ๆทั้งสอง สายชลต้องพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า ที่นี่คือชีวิตทั้งชีวิตของเธอมีคุณค่า ความหมาย และความสำคัญกับเธอแค่ไหน ถ้าถึงวันหนึ่งที่ พวกนายทุนที่เห็นแก่ตัวยังไม่หยุดรุกรานและไม่สามารถใช้วิธีการใดเพื่อยุติเหตุการณ์ต่างๆให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้ เธอได้ตัดสินใจแล้วว่า จะขอแลกกับชื่อเสียงและการเปิดตัวของสายชลศิลปินลึกลับที่ทุกคนอยากรู้จัก จะใช้ชื่อเสียงและความสามารถเหล่านี้ทั้งหมด ดึงให้ทุกคนที่รู้จักและชื่นชอบในผลงานของสายชลได้เข้ามาช่วยกันหยุดยั้งอิทธิพลมืด และคนเห็นแก่ตัวเหล่านั้น เธอมั่นใจมิใช่น้อยว่ามีคนจำนวนมากที่ยินดีจะช่วยเหลือ เมื่อเรื่องทุกอย่างดังขึ้น ก็ลองดูสิ อิทธิพลมืดที่มองไม่เห็นอะไรก็ตามลองมาสู้กันดู แต่ในวันนี้ขอสู้ในนามของคนธรรมดาคนหนึ่งที่ต่อสู้เพื่อถิ่นฐานบ้านเกิด สู้ตามความสามารถให้ถึงที่สุดเสียก่อน ขอพึ่งกฎหมายบ้านเมือง ผู้หญิงตัวเล็กคนนี้แหละจะทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตนเองรักและหวงแหน ปกป้องให้ถึงที่สุด แค่คิดว่าสูญเสียแม้เพียงวินาทีเดียวก็รับไม่ได้แล้ว สายชลยืนคิดอยู่เช่นนั้น เพลินจนถึงหกโมงเช้า พระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า ป้าจันทร์นำชาร้อนและนมร้อนมาเสิร์ฟ พร้อมถามถึงอาหารเช้าว่าเจ้านายอยากทานอะไร “วันนี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะคุณ” “ขอข้าวต้มปลาอย่างเดียวพอแล้วจ่ะป้า” “ตื่นแต่เช้ามากนะคะป้าเห็นยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว อากาศก็เย็นเกรงว่าคุณจะไม่สบายไป” “อะไรกันป้าฉันแสดงความอ่อนแอให้ป้าเห็นแบบนั้นบ่อยหรือจ๊ะ” “ไม่ได้หรอกค่ะคุณ ตอนนี้อากาศเริ่มเปลี่ยนแปลง ถนอมร่างกายไว้เป็นดีที่สุด” “ขอบใจจ่ะป้าที่เป็นห่วง” ตอบเสียงแผ่วเบา “ป้าไปทำงานต่อเถอะ ท้องฟ้าเริ่มกระจ่างขึ้นเรื่อยๆ ในความมืดก็ยังมีความสว่าง เป็นจริงเสมอ ฝูงนกบินจากรังไปแล้ว แสงทองเรื่อเรืองเริ่มจับขอบฟ้าเทือกเขาเบื้องหน้าทั้งเทือกเต็มไปด้วยม่านหมอกแสงสีของวันใหม่ตัดกับหมอกยามเช้า เกิดประกายสะท้อนจับทั่วทั้งภูเขา เสียงไก่ขันเสียงนกร้อง เป็นเช่นนี้เสมอตั้งแต่เล็กจนโตที่สายชลรับรู้ แต่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเพราะการท่องเที่ยวเริ่มเข้ามา บุคคลผู้หวังผลประโยชน์ก็ติดตามมา ไม่มีใครมองที่นี่ตรงความเป็น ธรรมชาติเป็นลำดับแรก แต่มองเพราะผลประโยชน์ นักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เป็นดอกผลกำไรที่ต้องเก็บเกี่ยว ธุรกิจท่องเที่ยวเติบโตขึ้น กับการแข่งขันและเปลี่ยนแปลงความเจริญจำนวนที่เพิ่มขึ้นของรีสอร์ท พื้นที่ป่าไร่นาหลายที่กลายเป็นรีสอร์ท หลากหลายระดับราคา หลากหลายสไตล์เพื่อตอบรับความต้องการของนักท่องเที่ยวให้ทั่วถึง ชาวบ้านหลายๆคนตัดสินใจขายที่ของตนเองทั้งๆที่ได้ตั่งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมทิ้งผืนดินของบรรพบุรุษถิ่นฐานบ้านตน แต่ราคาที่สูงกว่าเดิมสองถึงสามเท่าเป็นสิ่งดึงดูดใจที่ข้างเคียงจึงขายย้ายไปซื้อที่แห่งใหม่ราคาถูกแถมมีเงินมีทองเปลี่ยนฐานะไปจากเดิมมีธุรกิจเล็กน้อยๆเป็นของตัวเองเป็นเหตุให้คนอื่นๆค่อยๆทยอยขายตามไปเพราะเห็นตัวอย่างว่ามีชีวิตที่ดีขึ้น ที่แปลงเล็กแปลงน้อยก็ทยอยขายไปจนจะหมดอยู่แล้ว ที่เหลือก็เหมือนกำลังต่อรองราคากันอยู่ จุดสูงสุดและเด่นที่สุดอยู่ในเขตไร่เคียงดอยสิ่งที่น่ากลัวคือความโลภของคน สามารถทำให้คนทำได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะการรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ใบหน้าที่เชิดแหงนเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่ตอนนี้ความมืดได้จากไปแล้ว หากมีใครสักคนได้เห็น และล่วงรู้ซึ่งความคิดคงจะเข้าใจซึ่งความรัก และมุ่งมั่นที่จะปกป้อง ยืนหยัดต่อสู้เพื่อผืนดินที่เป็นที่เกิด “แม่จันทร์ คุณสายชลเธอลงมารึยัง” ลุงมีถามภรรยาถึงเจ้านาย “ยังหรอก ตื่นแต่เช้ามืด อยู่ที่เดิม” ว่าพลางบุ้ยใบ้ไปทางระเบียงบ้านเคียงดอยเป็นที่รู้กันระหว่างสามีภรรยาว่าคือมุมประจำที่มักจะพบเจ้านายของพวกเขายืนอยู่ตรงนั้นทีละนานๆ และใครก็อย่าได้รบกวน

1 ความคิดเห็น: